This post is also available in:
อังกฤษ

เขียนโพสต์โดย Aly Suico
ไจมี โมราโดส เป็นผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ชาวฟิลิปปินส์ เขาได้สร้างหนังที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายที่ใหญ่กว่า เขาเติบโตมาด้วยความรักในประวัติศาสตร์และมักตั้งคำถามเสมอ ไจมี หันมาสร้างเรื่องราวที่เปิดเผยความจริงที่ถูกฝังลึกซึ่งมีผลประโยชน์ต่อผู้มีอำนาจ ที่ขับเคลื่อนด้วยการสนับสนุนการต่อสู้กับการบิดเบือนประวัติศาสตร์ หนังเรื่องที่ผ่านมาของเขา ได้แก่ Protacio and the Bum (2021) และ Ang Pagliligtas sa Dalagang Bukid (Saving the Country Maiden, 2022) ได้รับแรงบันดาลใจจากความต้องการทำให้ประวัติศาสตร์เข้าถึงได้และมีความเกี่ยวข้องกับคนรุ่นใหม่
ภายใต้โครงการ Tech Tales Youth ของ EngageMedia ไจมีได้รับการแนะนำให้รู้จักกับการสร้างภาพยนตร์ที่มีผลกระทบเชิงสังคม โดยผลิตและฉายหนังเรื่อง This Is How Her Home Was Built ไจมีแบ่งปันประสบการณ์ของเขาในการใช้หนังเพื่อสร้างผลกระทบที่มากขึ้นสำหรับงานเคลื่อนไหวทางสังคมของเขา
การเชื่อมช่องว่างทางสังคม
ไจมีเล่าให้ฟังว่า เขาได้เรียนกับครูประวัติศาสตร์ที่ดีมาโดยตลอด ในชั้นมัธยมต้น ครูของเขาจะมักเล่าเรื่องที่ไม่ได้ถูกสอนในบทเรียนประวัติศาตร์ฟิลิปปินส์ทั่วไป ด้วยวิธีการนี้ ไจมีได้รับแรงบันดาลใจให้ศึกษาการเล่าเรื่องในวัฒนธรรมและการเมืองของฟิลิปปินส์ในปัจจุบันอย่างมีวิจารณญาณ และที่สำคัญคือการทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้
เมื่อตอนอายุ 9 ปี ไจมีได้ดูหนังคลาสสิกแนวประวัติศาสตร์เรื่อง Jose Riza ซึ่งกำกับโดย Marilou Diaz-Abaya ทำให้ไจมีได้รับรู้ความจริงที่โหดร้ายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และสังคมของฟิลิปปินส์ในยุคล่าอาณานิคมสเปน แต่ความจริงเหล่านี้กลับไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายอย่างที่เขาคิด การตระหนักรู้เช่นนี้ช่วยเปิดทางให้กับบทบาทของการทำภาพยนตร์ที่มีผลกระทบเชิงสังคมในวิธีการเล่าเรื่องความจริง
เขาเชื่อว่าการที่เขามาจากครอบครัวที่มีสภาพแวดล้อมซึ่งเปิดกว้างต่อการอภิปราย รวมไปถึงความรักและการชื่นชมประวัติศาสตร์ของเขาตั้งแต่เด็ก การที่เขาได้สนทนากับครอบครัวและเพื่อนๆ ไจมีรู้ทันทีว่าความจริงทั้งหมดไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมา ยังมีการโกหกและความจริงบางส่วนที่เป็นพื้นฐานของเรื่องเล่าในปัจจุบัน การเพิ่มขึ้นของการปรับเปลี่ยนประวัติศาสตร์ในช่วงปีหลังๆ ได้เพิ่มความเสื่อมโทรมของความทรงจำร่วมของชาวฟิลิปปินส์ นี่เป็นปัจจัยกระตุ้นให้ไจมีอยากมีส่วนร่วมมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การมีส่วนร่วมในการลงคะแนนเสียงเป็นครั้งแรกในฐานะพลเมืองฟิลิปปินส์ในปี พ.ศ. 2565
การค้นหาวิธีการสร้างหนังที่มีผลกระทบต่อสังคม
หนังเรื่อง“This Is How Her Home Was Built” เป็นวิธีของไจมีในการเผชิญหน้ากับความจริงในปัจจุบันและปลดปล่อยภาระของการค้นหาความจริงจากคนเพียงคนเดียว เขาแปลงความกลัวให้เป็นการกระทำที่มีแรงจูงใจ
หนึ่งในความกลัวที่ใหญ่ที่สุดของไจมีคือการสูญเสียเรื่องราวของประชาชนฟิลิปปินส์ให้กับข่าวปลอมและข้อมูลที่บิดเบือน ตลอดระยะเวลาการบริหารของอดีตประธานาธิบดี Rodrigo Duterte ทำให้ไจมีตระหนักถึงเรื่องราวที่ครูประวัติศาสตร์ได้สอนเขา เพราะสองครอบครัวการเมืองที่ครองอำนาจได้ร่วมมือกันสร้างเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่จะทำให้พวกเขากลับมามีอำนาจอีกครั้ง และไม่แปลกใจเลยที่ครอบครัวของอดีตเผด็จการ Ferdinand Marcos Sr. จะกลับมาอีกครั้ง โดยที่ลูกชายของเขา ประธานาธิบดี Bongbong Marcos ได้ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปีพ.ศ. 2565 ความกลัวของไจมีเพิ่มขึ้นอีกเมื่อเขาเห็นว่าครอบครัวของ
ไจมีเองก็กลายเป็นเหยื่อของเรื่องราวที่แพร่กระจายโดยชนชั้นปกครองไจมีจำเป็นต้องเตรียมตัวด้วยข้อมูล หนึ่งในกิจกรรมแรกที่ผู้กำกับหนังโครงการ Tech Tales Youth เข้าร่วมคือการประชุม Digital Rights Asia-Pacific Assembly (DRAPAC) ประจำปีพ.ศ. 2566 ซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกของเขาในการเข้าร่วมประชุมด้านสิทธิดิจิทัล เขาเล่าว่าประสบการณ์การนั่งฟังการเรียนรู้ 3-4 เรื่องต่อวัน ต้องใช้สติและความพยายามอย่างมาก นั่นทำให้เขารู้สึกเหนื่อยล้า ข้อมูลที่นำเสนอทำให้เขาได้รับรู้เรื่องราวจริงเกี่ยวกับสิทธิดิจิทัลทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สำหรับคนสร้างสรรค์ที่เพิ่งเริ่มเข้าสู่โลกที่กว้างขึ้นของงานเคลื่อนไหวนี้ ประสบการณ์นี้ทำให้เกิดความรู้สึกผิดภายในตัวเขา เขาคิดว่าต้องเปลี่ยนความรู้สึกนี้ให้เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างการทำหนังสั้น
หนังของเขา This Is How Her Home Was Built เป็นวิธีของไจมีในการเผชิญหน้ากับความจริงในปัจจุบันและปลดปล่อยภาระของการค้นหาความจริงจากคนเพียงคนเดียว เขาแปลงความกลัวให้เป็นการกระทำที่มีแรงจูงใจ กระบวนการสร้างสรรค์ของไจมีเกี่ยวข้องกับการก้าวออกจากความสบายในฐานะผู้สร้างเนื้อเรื่องไปสู่ดินแดนที่ทดลองมากขึ้นเพื่อจัดการกับข่าวปลอมและข้อมูลที่บิดเบือน ขณะเดียวกันก็เล่าเรื่องราวของเด็กสาวคนหนึ่งที่ต่อสู้กับอัตลักษณ์ของเธอท่ามกลางเรื่องราวที่บิดเบือนเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเธอ เหมือนม้าศึกทรอย ไจมีใช้การออกแบบฉากที่ดึงดูดสายตา การสร้างภาพเคลื่อนไหวแบบหยุดนิ่ง และการเคลื่อนไหวมือที่มีสัญลักษณ์ ประกอบกับการบรรยายเชิงกวีและการออกแบบเสียงที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดผู้ชมเกี่ยวกับอันตรายของการบิดเบือนประวัติศาสตร์และการจัดการอย่างมีอำนาจ โดยนำเสนอความกลัวส่วนบุคคลเป็นการนั่งรถไฟเหาะที่มองเห็นได้
การจัดฉายภาพยนตร์ที่สร้างผลกระทบเชิงสังคมกับเครือข่าย
การจัดฉายภาพยนตร์มีความสำคัญในกระบวนการสร้างผลกระทบต่อสังคม ขณะที่ไจมีเป็นนักเรียนที่ MINT College ไจมีได้ออกแบบกิจกรรมการฉายภาพยนตร์สองวันซึ่งมีชื่อว่า ‘Changing Narratives’ เมื่อวันที่ 2 และ 4 เมษายน พ.ศ. 2567
ไจมีได้ดึงแนวคิดเพื่อเข้าถึงผู้ชมรุ่นเยาว์ที่มีความสนใจน้อยเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เลวร้ายในประวัติศาสตร์ฟิลิปปินส์ ผู้สร้างภาพยนตร์ควรนำเสนอภาพยนตร์ที่จัดการกับหัวข้อนี้จากมุมมองสร้างสรรค์ที่แตกต่างออกไป ซึ่งทำให้ไจมีตัดสินใจเชิญผู้สร้างภาพยนตร์ สตีเฟน โลเปซ และภาพยนตร์สั้นของเขาเรื่อง Hito มาร่วมในงานนำเสนอ ด้วยแนวทางที่ทดลองและตลกขบขันในการจัดการกับการบิดเบือนประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นการจับคู่ที่สมบูรณ์แบบกับหนังของไจมี
ไจมีได้ร่วมมือกับองค์กรศิลปิน-นักเคลื่อนไหวชื่อ DAKILA – Philippine Collective for Modern Heroism และหน่วยงานด้านการศึกษา Active Vista เพื่อจัดกิจกรรมการฉายภาพยนตร์และการอภิปรายหนังของเขา ซึ่งแคมเปญ Narrative Change ของ DAKILA และ Active Vista มีบทบาทสำคัญในการออกแบบการอภิปรายหลังการฉายและสร้างบริบทสำหรับความจำเป็นในการท้าทายเรื่องราวที่เป็นที่ยอมรับซึ่งก่อให้เกิดการบิดเบือนประวัติศาสตร์
ผู้ชมส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาด้านภาพยนตร์และดนตรี ในระหว่างการอภิปราย หลายคนได้แบ่งปันว่าภาพยนตร์ช่วยให้พวกเขาสร้างการเชื่อมโยงระหว่างอัตลักษณ์ฟิลิปปินส์ของพวกเขากับการบิดเบือนประวัติศาสตร์ของประเทศที่ยังคงดำเนินอยู่ ไจมีสังเกตเห็นว่านักศึกษาเหล่านี้มีข้อมูลดีและไม่โง่เขลาตามที่บางคนอาจคิดเกี่ยวกับผู้ที่มาจากชั้นชนที่มีสิทธิพิเศษมากกว่า หนังและการอภิปรายได้มอบพื้นที่ที่ดีเยี่ยมให้นักศึกาาเข้าใจว่าอัตลักษณ์ส่วนบุคคลของพวกเขาสอดคล้องโดยตรงกับบริบทที่กว้างขึ้นของประวัติศาสตร์และสังคมฟิลิปปินส์ นักศึกษารู้สึกประทับใจกับความคิดสร้างสรรค์ในภาพยนตร์ของสตีเฟน โลเปซ ซึ่งจัดการกับปัญหาสำคัญอย่างชัยชนะของมาร์กอส จูเนียร์ในขณะที่ยังคงมีความสนุกสนาน ภาพยนตร์นี้ได้
ท้าทายขอบเขตและข้อจำกัดที่พวกเขาคุ้นเคยในวิธีการสร้างภาพยนตร์และการฉายแบบดั้งเดิม งานนี้ทำให้พวกเขาตระหนักถึงความเป็นไปได้และเส้นทางต่างๆ ของภาพยนตร์ของพวกเขา พวกเขาตระหนักว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องรอจนกว่าจะเป็นมืออาชีพในอุตสาหกรรมเพื่อเริ่มลงมือทำ เช่นเดียวกับที่ไจมี นักเรียน MINT College ได้แสดงให้เห็น


อาจารย์จาก MINT ได้แสดงความสนใจในไอเดียเรื่องการฉายภาพยนตร์ที่มีผลกระทบกับสังคมและรู้สึกแปลกใจว่าแนวทางนี้ไม่เพียงแต่มีอยู่ในนักทำหนังรุ่นเยาว์เท่านั้น แต่ยังเหมาะสำหรับสถาบันการศึกษาอีกด้วย หนึ่งในอาจารย์ได้พูดคุยถึงวิธีที่พวกเขาสามารถนำภาพยนตร์เหล่านี้ไปใช้ในการสอนและอยากติดต่อองค์กรต่างๆ เพื่อช่วยจัดกิจกรรมที่คล้ายกัน เหตุการณ์นี้ได้สร้างสะพานเชื่อมระหว่างอาจารย์กับผู้สร้างสรรค์เช่นไจมีและสตีเฟน รวมถึงองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรเช่น EngageMedia, DAKILA และ Active Vista

ภาพการฉายหนังเรื่อง This is How Her Home Was Built กำกับโดยไจมี โมราโดส
สะพานของการทำหนังและการเคลื่อนไหวที่มีผลกระทบต่อสังคมในอนาคต
การวัดความสำเร็จของการผลิตหนังที่มีผลกระทบเชิงสังคมสามารถทำได้จากระยะทางและความลึกของการเข้าถึงที่ภาพยนตร์และกิจกรรมที่สามารถไปถึง แต่อีกหนึ่งการวัดผล คือผลกระทบของโครงการที่มีต่อตัวผู้สร้างภาพยนตร์เอง
ไจมีได้แบ่งปันว่าโปรแกรม Tech Tales Youth ได้เปลี่ยนแปลงการปฏิบัติงานของเขาในฐานะผู้สร้างภาพยนตร์อย่างมาก ในฐานะผู้สร้างภาพยนตร์ที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวสังคม ประสบการณ์ทั้งหมดได้เสริมความมุ่งมั่นของเขาที่จะยืนหยัดในความเชื่อของเขา มันสอนเขาให้เสริมสร้างเสียงของเขาในฐานะนักเคลื่อนไหวในขณะเดียวกันก็ยังมีความรักในการทำภาพยนตร์ของเขา
ไจมีมีแผนที่จะจัดกิจกรรมการฉายภาพยนตร์ต่อไปสำหรับผู้ชมรุ่นเยาว์ เขาแบ่งปันว่าโปรแกรม Tech Tales Youth ได้เข้ามาในเวลาที่เหมาะสมสำหรับเขาในเส้นทางการเป็นผู้สร้างภาพยนตร์และนักเคลื่อนไหว เขากำลังจะเรียนจบในไม่ช้า ไจมีวางแผนจะจัดฉายหนังอีกครั้งในโรงเรียนของเขา โดยมีเป้าหมายเป็นนักเรียนระดับมัธยมปลายและมหาวิทยาลัย
นอกเหนือจากชุมชนที่เขาอยู่ ไจมียังมุ่งเป้าไปที่องค์กรภาพยนตร์ในกรุงมะนิลาสำหรับการฉายภาพยนตร์ของเขา เขารู้ว่าผู้ชมกลุ่มนี้มีศักยภาพทางความคิดสร้างสรรค์ในการผลิตผลงานที่มีผลกระทบเชิงสังคม โดยเขาอยากจัดฉายภาพยนตร์และมีการอภิปราย เขาเห็นบทบาทของเขาเป็นแรงผลักดันเล็กน้อยที่ชี้นำให้พวกเขาไปสู่การตื่นตัวในฐานะนักเล่าเรื่องที่มีวิจารณญาณและชาตินิยม
ในระยะยาว ไจมีจินตนาการถึงการกลับไปที่จุดเริ่มต้นของเขา นั่นก็คือในห้องเรียน ถึงการเชื่อมต่อกับครูประวัติศาสตร์ สื่อ และการรู้หนังสือสารสนเทศเป็นขั้นตอนที่ปฏิบัติได้จริงในการทำให้ภาพยนตร์แบบนี้เป็นเครื่องมือเพื่อการศึกษา
การจุดประกายการสนทนาเป็นเป้าหมายหลักที่ไจมีตั้งใจทำให้สำเร็จในเส้นทางการทำงานเพื่อผลกระทบเชิงสังคม และเป็นขั้นตอนแรกที่จำเป็นก่อนที่จะลงลึกไปเพื่อค้นพบความจริงของชาวฟิลิปปินส์เพิ่มเติม โปรแกรม Tech Tales Youth เปิดวิธีใหม่ๆ ให้ไจมีในการเข้าหาการสร้างภาพยนตร์เพื่อการเคลื่อนไหว และเขาเพิ่งจะเริ่มต้น เขายอมรับว่าเขายังอยู่ในกระบวนการค้นหาหนทางของเขา และในการทำเช่นนั้น เขาเห็นว่าไม่มีสูตรเดียวที่จะเชื่อมโยงทุกสิ่งเข้าด้วยกัน แต่ท่ามกลางทั้งหมดนี้ ไจมียังคงยึดมั่นใน “เหตุผล” ของเขาและรู้สึกตื่นเต้นที่จะทำสิ่งนี้ในเชิงวิชาชีพนอกโรงเรียน
- Altar of Secrets: Sex, Politics, Money in the Philippine Catholic Church โดย Aries Rufo
- Meaning in History โดย Ambeth Ocampo
- Nothing Deep โดย Richard Bolisay, บทความเกี่ยวกับภาพยนตร์และวัฒนธรรมป๊อปของฟิลิปปินส์
- Piagsugpatan โดย Marcy Dans Lee, ซีรีส์เรื่องสั้นเกี่ยวกับคน Mandaya